ทฤษฎีพหุปัญญา
(Theory of Multiple
intelligences)
ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา. ได้กล่าวถึงทฤษฎีนี้ไว้ว่า ทฤษฎีพหุปัญญา
(Theory
of Multiple Intelligences)การจะบอกว่าเด็กคนหนึ่งฉลาด
หรือมีความสามารถมากน้อยเพียงใด ถ้าเรานำระดับสติปัญญาหรือไอคิว ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาเป็นมาตรวัด
ก็อาจได้ผลเพียงเสี้ยวเดียว เพราะว่าวัดได้เพียงเรื่องของภาษา ตรรกศาสตร์
คณิตศาสตร์ และมิติสัมพันธ์เพียงบางส่วนเท่านั้น
ยังมีความสามารถอีกหลายด้านที่แบบทดสอบในปัจจุบันไม่สามารถวัดได้ครอบคลุมถึง เช่น
เรื่องของความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา และความสามารถทางศิลปะ เป็นต้น
ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
เป็นผู้หนึ่งที่พยายามอธิบายให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย โดยคิดเป็น “ ทฤษฎีพหุปัญญา ” (Theory of Multiple Intelligences)
เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง แล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน
แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใด เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป
ในปี พ.ศ. 2526 การ์ดเนอร์
ได้เสนอว่าปัญญาของมนุษย์มีอยู่อย่างน้อย 7 ด้าน คือ ด้านภาษา
ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ และด้านการเข้าใจตนเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2540
ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน คือ ด้านธรรมชาติวิทยา
เพื่อให้สามารถอธิบายได้ครอบคลุมมากขึ้น จึงสรุปได้ว่า พหุปัญญา
ตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ ในปัจจุบันมีปัญญาอยู่อย่างน้อย 8 ด้าน ดังนี้
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)
คือ
ความสามารถในการใช้ภาษารูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ภาษาพื้นเมือง จนถึงภาษาอื่นๆ ด้วย
สามารถรับรู้ เข้าใจภาษา และสามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ตามที่ต้องการ
ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น กวี นักเขียน นักพูด นักหนังสือพิมพ์ ครู
ทนายความ หรือนักการเมือง
2. ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence)
คือ
ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์
และการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น นักบัญชี
นักสถิติ นักคณิตศาสตร์ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเขียนโปรแกรม หรือวิศวกร
3. ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence)
คือ
ความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง
และตำแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แล้วถ่ายทอดแสดงออกอย่างกลมกลืน
มีความไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น
จะมีทั้งสายวิทย์ และสายศิลป์ สายวิทย์ ก็มักเป็น นักประดิษฐ์ วิศวกร ส่วนสายศิลป์
ก็มักเป็นศิลปินในแขนงต่างๆ เช่น จิตรกร วาดรูป ระบายสี เขียนการ์ตูน นักปั้น
นักออกแบบ ช่างภาพ หรือสถาปนิก เป็นต้น
4. ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily
Kinesthetic Intelligence)
คือ
ความสามารถในการควบคุมและแสดงออกซึ่งความคิด ความรู้สึก โดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของ
ร่างกาย
รวมถึงความสามารถในการใช้มือประดิษฐ์ ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว
ความยืดหยุ่น ความประณีต และความไวทางประสาทสัมผัส
สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักกีฬา หรือไม่ก็ศิลปินในแขนง
นักแสดง นักฟ้อน นักเต้น นักบัลเล่ย์ หรือนักแสดงกายกรรม
5. ปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence)
คือ
ความสามารถในการซึมซับ และเข้าถึงสุนทรียะทางดนตรี ทั้งการได้ยิน การรับรู้
การจดจำ และการแต่งเพลง สามารถจดจำจังหวะ ทำนอง และโครงสร้างทางดนตรีได้ดี และถ่ายทอดออกมาโดยการฮัมเพลง
เคาะจังหวะ เล่นดนตรี และร้องเพลง สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น
มักจะเป็นนักดนตรี นักประพันธ์เพลง หรือนักร้อง
6. ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal
Intelligence)
คือ
ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น ทั้งด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์
และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการสังเกต สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง
สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม สร้างมิตรภาพได้ง่าย เจรจาต่อรอง ลดความขัดแย้ง
สามารถจูงใจผู้อื่นได้ดี เป็นปัญญาด้านที่จำเป็นต้องมีอยู่ในทุกคน
แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้ให้คำปรึกษา
นักการฑูต เซลแมน พนักงานขายตรง พนักงานต้อนรับ ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง
หรือนักธุรกิจ
7. ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal
Intelligence)
คือ
ความสามารถในการรู้จัก ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเท่าทันตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ
และสถานการณ์ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเผชิญหน้า เมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยง
เมื่อไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ มองภาพตนเองตามความเป็นจริง รู้ถึงจุดอ่อน
หรือข้อบกพร่องของตนเอง ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าตนมีจุดแข็ง
หรือความสามารถในเรื่องใด มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความคาดหวัง
ความปรารถนา และตัวตนของตนเองอย่างแท้จริง
เป็นปัญญาด้านที่จำเป็นต้องมีอยู่ในทุกคนเช่นกัน
เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า และมีความสุข
สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักคิด นักปรัชญา หรือนักวิจัย
8. ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist
Intelligence)
คือ ความสามารถในการรู้จัก
และเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่างๆ
ของธรรมชาติ มีความไวในการสังเกต เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ
มีความสามารถในการจัดจำแนก แยกแยะประเภทของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์
สำหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย
หรือนักสำรวจธรรมชาติ
http://www.mindecodetd.com/multi-th/index.php. ได้กล่าวถึงทฤษฎ๊นี้ไว้ว่า ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Dr.Howard Gardner) นักจิตวิทยาผู้นำเสนอทฤษฎีพหุปัญญา
และอัจฉริยภาพด้านต่างๆ 8 ประการ
ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวเป็นที่รู้จักและมีการนำไปใช้ในการจัดหลักสูตรการศึกษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล
ดร.การ์ดเนอร์ไม่เชื่อว่าการวัดอัจฉริยภาพด้วยการทดสอบ IQ (IQ
test) นั้นสามารถใช้เป็นเครื่องมือวัดที่แน่นอนได้
แต่เชื่อว่าอัจฉริยภาพสามารถสร้างได้ในตัวบุคคลด้วยวิธีการเรียนรู้แบบเฉพาะตัวเพื่อพัฒนาซึ่งศักยภาพนั้น
ดร.การ์ดเนอร์กล่าวว่า "แต่ละคนมีศักยภาพในตัวเองสำหรับอัจฉริยภาพด้านต่างๆ
แต่จะมีอัจฉริยภาพบางประการเท่านั้นที่สามารถพัฒนาขึ้นได้มากกว่าด้านอื่น
ซึ่งจำเพาะกับคนๆนั้นเท่านั้น"
1.
ด้านดนตรี และสุนทรียศาสตร์ (Musical/Rhythmic)
ศักยภาพในด้านดนตรี
ทำให้คุณสามารถเข้าใจรูปแบบของดนตรี จดจำท่วงทำนอง
และสามารถสร้างสรรค์ผลงานดนตรีได้ ผู้มีศักยภาพด้านดนตรีไม่เพียงแต่จดจำบทเพลง
หรือท่วงทำนองได้เท่านั้น แต่พวกเขาจะไม่มีวันลืมและติดตัวเข้าไปตลอดเลยเชียวหล่ะ
2.
ด้านสังคม และปฎิสัมพันธ์ (Interpersonal)
ศักยภาพในด้านสังคมและปฏิสัมพันธ์นี้
เป็นความสามารถด้านการจัดการและการสื่อสาร
ซึ่งสามารถแสดงความต้องการและทำให้สำเร็จได้ การเอาใจใส่
ช่วยเหลือผู้อื่นให้งานสำเร็จลุล่วง เข้าใจความแตกต่าง
และสามารถแสดงออกต่อความต่างนั้นได้อย่างมีชั้นเชิง เป็นผู้มีอิทธิพลและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
3.
ด้านการฟัง และการเข้าใจภาษา (Verbal Linguistic)
ศักยภาพในภาษา
จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ดี และตรงกับความรู้สึกของคุณได้มากขึ้น
ผู้ที่มีความสามารถด้านภาษาไม่ว่าจะเป็นการพูด หรือการประพันธ์
มันแสดงออกซึ่งอัจฉริยภาพออกมา เช่น นักประพันธ์ นักเขียน นักกฎหมาย นักปราศัย
ซึ่งความสามารถด้านนี้จำเป็นอย่างยิ่งในชั้นเรียน
4.
ด้านร่างกาย และการเคลื่อนไหว (Bodily/Kinesthetic)
ศักยภาพในการใช้สรีระ
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายทั้งแขน มือ นิ้ว เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ แก้ปัญหา
หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ซึ่งจะเห็นศักยภาพด้านนี้ได้ชัด ในตัวนักกีฬา หรือศิลปิน
โดยเฉพาะนักเต้น นักแสดง
5.
ด้านตรรกศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematic)
ศักยภาพด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์
สามารถให้แต่ละบุคคลนำไปใช้ สร้างความพอใจ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงนามธรรมได้
ในวัฒนธรรมตะวันตกมักควบคุมด้วยการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์
และการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกร
จำเป็นต้องใช้ศักยภาพด้านนี้ในระดับสูง ซึ่งเช่นเดียวกันกับทักษะด้านภาษาที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการเรียนในโรงเรียน
6.
ด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist)
ศักยภาพด้านธรรมชาติวิทยา
สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์ พืช
ศักยภาพด้านนี้ทำให้เราสามารถเข้าใจในวิวัฒนาการในอดีต การเป็นผู้ล่า
รวมกลุ่มเป็นสังคม จนถึงการทำกสิกรรม ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการทำอาชีพที่เกี่ยวข้อง
เช่น นักพฤกษศาสตร์ นักปรุงอาหาร (เชฟ)
7.
ด้านการมองเห็น และมิติสัมพันธ์ (Visual/Spatial)
ศักยภาพด้านการมองเห็นนี้
เป็นความสามารถในด้านการสังเกต ความใกล้-ไกล ระยะห่าง เช่นเดียวกันกับทักษะที่
นักเดินเรือ กัปตันเครื่องบิน สามารถบังคับยวดยานไปยังท้องน้ำ และท้องฟ้ากว้างไกล
รวมไปถึงนักหมากรุก และประติมาก
8.
ด้านการรับรู้ และเข้าใจตนเอง (Intrapersonal)
ศักยภาพในการเข้าใจตัวตนของตนเอง
ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน ความถนัด ความสนใจ เพื่อกำหนดเป้าหมายในชีวิต
เข้าใจสถานะของตนเองในสังคม ทั้งหมดก็เพื่อพัฒนากรอบความคิด ทดสอบตัวเอง
และแสดงออกซึ่งอารมณ์ภายใน แรงปรารถนา ภาวะอารมณ์
แล้วหลอมรวมออกมาเป็นบุคลิกภาพที่แสดงออกมาภายนอก
http://oknation.nationtv.tv/blog/kunwee/2007/10/10/entry-8. ได้กล่าวถึงทฤษฎีนี้ไว้ว่า ผู้บุกเบิกทฤษฎีนี้คือ การ์ดเนอร์ (Gardner) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University)
ในปี ค.ศ. 1983 เขาได้เขียนหนังสือชื่อ “Frames of
Mind : The Theory of Multiple Intelligences” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
แนวคิดของเขาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเกี่ยวกับ “เชาว์ปัญญา” เป็นอย่างมาก
และกลายเป็นทฤษฎีที่กำลังมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน
ในปัจจุบัน
แนวคิดเกี่ยวกับเชาว์ปัญญา (Intelligences) ที่มีมาตั้งแต่เดิมนั้น จำกัดอยู่ที่ความสามารถด้านภาษา
ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ และการคิดเชิงตรรกะหรือเชิงเหตุผลเป็นหลัก
การวัดเชาวน์ปัญญาของผู้เรียนจะวัดจากคะแนนที่ทำได้จากแบบทดสอบทางสติปัญญา
ซึ่งประกอบด้วยการทดสอบความสามารถทั้ง 2 ด้านดังกล่าว
คะแนนจากการวัดเชาว์ปัญญาจะเป็นตัวกำหนดเชาว์ปัญญาของบุคคลนั้นไปตลอด
เพราะมีความเชื่อว่า
องค์ประกอบของเชาวน์ปัญญาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยหรือประสบการณ์มากนัก
แต่เป็นคุณลักษะที่ติดตัวมาแต่กำเนิด การ์ดเนอร์ (Gardner, 1983) ให้นิยามคำว่า “เชาวน์ปัญญา” (Intelligence) ไว้ว่า หมายถึงความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
หรือการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรมในแต่ละแห่ง
รวมทั้งความสามารถใจการตั้งปัญหาเพื่อจะหาคำตอบและเพิ่มพูนความรู้
การ์ดเนอร์มีความเชื่อพื้นฐานที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1.
เชาวน์ปัญญาของบุคคลมิได้มีเพียงความสามารถทางภาษาและทางคณิตศาสตร์เท่านั้น
แต่มีอยู่อย่างหลากหลายถึง 8 ประเภทด้วยกัน ซึ่งเขาบอกว่า
ความจริงอาจจะมีมากกว่านี้ คนแต่ละคนจะมีความสามารถเฉพาะด้านที่แตกต่างไปจากคนอื่น
และมีความสามารถในด้านต่าง ๆ ไม่เท่ากัน ความสามารถที่ผสมผสานกันออกมา
ทำให้บุคคลแต่ละคนมีแบบแผนซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน
2. เชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคลจะไม่อยู่คงที่อยู่ที่ระดับที่ตนมีตอนเกิด
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากได้รับการส่งเสริมที่เหมาะสม
ในความคิดของการ์ดเนอร์
เชาวน์ปัญญาของบุคคลประกอบด้วยความสามารถ 3 ประการคือ
1. ความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพการณ์ต่าง ๆ
ที่เป็นไปตามธรรมชาติและตามบริบททางวัฒนธรรมของบุคคลนั้น
2.
ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีประสิทธิภาพและสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรม
3. ความสามารถในการแสวงหาหรือตั้งปัญหาเพื่อหาคำตอบและเพิ่มพูนความรู้
สรุป
จากทฤษฎีข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ทฤษฎีนี้เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามารถและเป็นคนเก่ง
ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเก่งในด้านใด คือ อัจฉริยะภาพสร้างขึ้นได้ด้วยตัวบุคคลเอง
แต่ก่อนส่วนใหญ่จะจำกัดความสามารถแค่ด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์ แต่สำหรับการ์ดเนอร์
มองว่าความสามารถหรือศักยภาพขอคนเรามันพัฒนาได้ เมื่อได้ทำตามความถนัดของตน
ทฤษฎีนี้ทำให้คนที่มีความบกพร่องทางด้านสมอง มีความเท่าเทียมกับคนทั่วไปได้
เชาว์ปัญญาตามความคิดของการ์ดเนอร์ มี 8 ด้าน
1. เชาวน์ปัญญาด้านภาษา (Linguistic
Intelligence) เช่น ความสามารถในการอ่าน การเขียน การพูดอภิปราย
การสื่อสารกับผู้อื่น เป็นต้น
2.
เชาว์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์หรือการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ (Logical Mathematical
Intelligence)
ความสามารถทางด้านคำนวณ
ชอบคิดและทำอะไรตามเหตุผล เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ง่าย
3. สติปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial
Inteligence) ความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี สามารถสังเกตได้ดี
4. เชาวน์ปัญญาด้านดนตรี (Musical
Inteligence) มีความสามารถในด้านจังหวะ การร้องเพลง
การฟังเพลงและดนตรี การแต่งเพลง การเต้น และมีความไวต่อการรับรู้เสียงและจังหวะต่าง
ๆ
5.
เชาวน์ปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ (Bodily-Kinesthetic
Intelligence) มีความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น
ในการเล่นกีฬา และเกมต่าง ๆ การใช้ภาษาท่าทาง การแสดง การเต้นรำ ฯลฯ
6. เชาวน์ปัญญาด้านการสัมพันธ์กับผู้อื่น
(Interpersonal Intelligence)
มีความสามารถด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การทำงานกับผู้อื่น
การเข้าใจและเคารพผู้อื่น ผู้มีความสามารถทางด้านนี้
มักเป็นผู้ที่มีความไวต่อความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
7. เชาว์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง
(Intrapersonal Inteligence) มักเป็นคนที่ชอบคิด
พิจารณาไตร่ตรอง มองตนเอง มั่นคงในความคิดตนเอง
8.
เชาวน์ปัญญาด้านความเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist Inteligence)
มักเป็นผู้รักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ
ตระหนักในความสำคัญของสิ่งแวดล้อมรอบตัว และมักจะชอบและสนใจสัตว์
ชอบเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
ที่มา
ทวีศักดิ์
สิริรัตน์เรขา. https://www.babybestbuy.in.th/shop/theory_of_multiple_intelligences. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561.
http://oknation.nationtv.tv/blog/kunwee/2007/10/10/entry-8. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น